สวัสดีค่า… ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยเติบโตและเป็นที่สนใจของนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋า “หุ้นไทยยอดนิยม” จึงกลายเป็นหมวดหมู่ที่นักลงทุนต่างจับตามอง เพราะหุ้นเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีความมั่นคงในการเติบโตและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยได้ดี
วันนี้พี่จะพามาทำความรู้จักกับ 5 หุ้นยอดฮิตในตลาดหุ้นไทย (SET) ซึ่งได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักลงทุนมาโดยตลอด แต่ละบริษัทไม่เพียงแต่มีธุรกิจที่หลากหลายและมั่นคงเท่านั้น ยังเป็นหุ้นที่นักลงทุนสามารถถือไว้ในระยะยาว เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและมีโอกาสในการทำกำไรต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เหมาะสำหรับคนที่มองหาหุ้นที่เป็นตัวจริงในธุรกิจของตัวเองค่ะ
1. PTT (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน))
PTT หรือที่เราคุ้นๆ กันในชื่อ ปตท. นี่แหละ เป็นบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดพลังงานไทยมาอย่างยาวนานค่ะ โดยธุรกิจของ PTT นั้นครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ หมายถึงว่าตั้งแต่การสำรวจแหล่งพลังงาน การขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไปจนถึงการแปรรูปและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่างๆ พวกน้ำมันเบนซิน ดีเซล LPG และอื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ PTT ยังมีเครือข่ายธุรกิจที่หลากหลาย เช่น บริษัท PTTGC (ปตท. โกลบอล เคมิคอล) ในสายธุรกิจปิโตรเคมี และบริษัท OR ที่ทำธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน (เช่น ปตท. และ Cafe Amazon) ซึ่งทำให้มีรายได้จากหลายช่องทาง และแน่นอนว่าในช่วงที่ความต้องการพลังงานสูง PTT จะมีแนวโน้มกำไรที่ดีมากค่ะ เหมาะกับการถือยาวในพอร์ตเลยนะ
2. ADVANC (บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน))
ADVANC หรือ AIS เป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของไทยที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดค่ะ เขาให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีลูกค้าทั้งรายบุคคลและองค์กรขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ปัจจุบัน AIS ไม่ได้หยุดแค่ให้บริการเครือข่าย แต่ยังพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยี เช่น การลงทุนในโครงข่าย 5G ซึ่งถือว่ามีศักยภาพสูงมากในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกัน
นอกจากนี้ AIS ยังมองหาโอกาสขยายไปยังธุรกิจดิจิทัลใหม่ๆ ด้วย เช่น AIS Fibre ซึ่งให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านที่มีความเร็วสูง หรือบริการที่เกี่ยวกับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT (Internet of Things) และโครงการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นในธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่
3. BDMS (บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน))
BDMS หรือกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ นี่ถือเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโรงพยาบาลในเครือกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งโรงพยาบาลที่เป็นที่รู้จักก็คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลเปาโล เป็นต้นค่ะ
BDMS ไม่ได้เน้นแค่การรักษาในประเทศ แต่ยังขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มาใช้บริการเชิงการแพทย์ เช่น การรักษาเฉพาะทาง การผ่าตัดใหญ่ หรือบริการเชิงสุขภาพและความงาม ทำให้มีรายได้จากทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ธุรกิจสุขภาพแบบนี้ได้รับความสนใจมากในกลุ่มนักลงทุน เพราะมีแนวโน้มเติบโตไปเรื่อยๆ จากทั้งการสูงอายุของประชากรและความต้องการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น
4. CPALL (บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน))
CPALL หรือที่รู้จักกันในฐานะเจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่เปิด 24 ชั่วโมงและมีสาขาเยอะที่สุดในไทย น่าจะไม่ต่ำกว่า 12,000 สาขาทั่วประเทศนะ! CPALL ไม่ได้ทำแค่ธุรกิจค้าปลีกแบบร้านสะดวกซื้อ แต่ยังมีบริษัทลูกอย่าง MAKRO ที่ทำธุรกิจค้าส่งสินค้าหลากหลายประเภท ซึ่งช่วยเสริมให้มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ
อีกส่วนที่ CPALL ให้ความสำคัญมากคือการพัฒนาสินค้าและบริการต่างๆ ในร้าน 7-Eleven เช่น มีการเพิ่มโซนอาหารพร้อมทาน ผลิตภัณฑ์แบรนด์ของตัวเอง (house brand) บริการรับส่งพัสดุ และบริการชำระบิล บัตรเติมเงิน CPALL ถือว่าทำรายได้สม่ำเสมอและมีแนวโน้มเติบโตไปพร้อมกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายค่ะ
5. KBANK (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน))
KBANK หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ธนาคารกสิกรไทย เป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีจุดเด่นด้านการบริการที่ครอบคลุมทั้งการให้สินเชื่อ บริการเงินฝากและบริการด้านการลงทุน ซึ่งมีทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กรค่ะ
ในยุคที่เทคโนโลยีการเงิน (FinTech) เติบโตอย่างรวดเร็ว KBANK ถือว่าเป็นธนาคารที่ไม่เคยหยุดพัฒนาเลย อย่างที่เห็นจากแอปพลิเคชัน K PLUS ที่ใช้งานง่าย มีบริการทางการเงินครบครัน เช่น โอนเงิน จ่ายบิล การลงทุน รวมถึงบริการสินเชื่อดิจิทัล นอกจากนี้ KBANK ยังขยายการให้บริการไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว และอินโดนีเซีย ทำให้มีโอกาสขยายธุรกิจมากขึ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจในธุรกิจการเงินที่ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ